วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การละเล่นภาคเหนือ

 ม้าจกคอก


               
         ชื่อ ม้าจกคอก
         ภาค ภาคเหนือ
         จังหวัด กำแพงเพชร
    การเล่นม้าจกคอก ภาคกลางเรียก ลาวกระทบไม้ การเล่นชนิดนี้เข้าใจว่าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากการละเล่นของชาวลัวะ

        อุปกรณ์และวิธีเล่น
    จำนวนผู้เล่น ตั้งแต่ ๓ คนขึ้นไป
        
        อุปกรณ์ 
     ๑. ไม้กลมขนาดกำรอบ ยาวประมาณ ๕ ศอก จำนวน ๒ ท่อน
     ๒. ขอนไม้สูงประมาณ ๑ คืบ ยาวประมาณ ๑-๒ ศอก จำนวน ๒ ท่อน
         สถานที่เล่น เล่นบริเวณที่เป็นลานกว้าง
       วิธีการเล่น
     ๑. แบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายแรกมี ๒ คน สำหรับถือท่อนไม้ที่วางขนานบนขอนไม้ แล้วกระทบกันเป็นจังหวะ ส่วนฝ่ายที่ ๒ มี ๒ คนขึ้นไป สำหรับเป็นผู้เต้น
     ๒. ให้ผู้เล่นเข้าไปอยู่ระหว่างคาน ผู้ถือไม้คานทั้งคู่ก็ทำสัญญาณ โดยยกคานไม้ทั้งคู่กระแทกลงบนไม้หมอน ระหว่างที่เคาะจังหวะอยู่นั้นผู้เล่นต้องเต้นไปด้วย เมื่อให้สัญญาณเคาะ ๓ ครั้งแล้ว ครั้งที่ ๔ ผู้ถือจะเอาคานทั้งสองเข้าชิดกัน ผู้เต้นจะต้องกระโดดให้สูงกว่าครั้งแรกของจังหวะและแยกขาออกให้พ้นไม้ ถ้าถูกหนีบเรียกว่า ม้าขำคอก หรือม้าติดคอก คู่ที่ถูกไม้หนีบจะต้องออกไปเปลี่ยนให้ผู้ที่ถือคานอยู่เดิมนั้นเข้ามาเต้นในระหว่างคานนั้นบ้าง

โอกาสหรือเวลาที่เล่น
การเล่นม้าจกคอกนิยมเล่นในวันขึ้นปีใหม่ (สงกรานต์) ของล้านนา

สาระ
การเล่นม้าจกคอก เป็นการละเล่นเพื่อให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ทำให้เกิดความสามัคคีภายในกลุ่มและความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน




ปั่นหนังว้อง
       ชื่อ ปั่นหนังว้อง
       ภาค ภาคเหนือ
       จังหวัด กำแพงเพชร


           อุปกรณ์และวิธีเล่น
             การปั่นหนังว้อง คือการปั่นยางวงที่ใช้รัดของ เป็นการเล่นของเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายเล่นโดยการจับคู่เล่นบนพื้นราบที่ไม่สกปรก เช่น พื้นเรือน หรือบนโต๊ะ อุปกรณ์ที่ใช้คือ ยางรัดของจำนวนมากน้อยเท่าที่หาได้กติกาการเล่นมีอยู่ว่า หากผู้เล่นฝ่ายใดสามารถคลายยางรัดของออกจากกันเป็นเส้นปกติได้ ก็จะได้ยางรัดนั้นเป็นกรรมสิทธิ์

          วิธีเล่น
             เริ่มจากการนำยางรัดของมาคนละเส้นประกบกันแล้วให้ฝ่ายหนึ่งใช้ส้นมือถูยางรัดของที่ประกบกันนั้นโดยแรงให้ยางรัดทั้งสองเส้นบิดตัวพันกันจนแน่น แล้วให้อีกฝ่ายหนึ่งพยายามแกะให้คลายออกจากกัน ถ้าทำได้สำเร็จจะได้ยางรัดของไปเป็นของตน ถ้าทำไม่สำเร็จจะต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งทำแทน ผลัดกันเช่นนี้ไปจนกว่าจะมีผู้ทำสำเร็จ เมื่อเสร็จแล้วก็เริ่มต้นใหม่ไปเรื่อยๆ

        โอกาสหรือเวลาที่เล่น
           เป็นการละเล่นที่ใช้เล่นในยามว่าง

          คุณค่า / แนวคิด / สาระ
               การเล่นปั่นหนังว้อง เล่นได้ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง พ่อแม่สามารถให้ลูกเล่นในบ้านและคอยสังเกตพฤติกรรม นิสัยใจคอของลูก หากพบความผิดปกติจะแก้ไขได้ทันท่วงที
นอกจากนี้ยังเป็นการเก็บรักษายางรัดของไว้ใช้ในโอกาสต่อไปอีกทางหนึ่งด้วย



             ไก่ชนมะม่วง (ป๊อกบ่าม่วง หรือการสับมะม่วง)


        ภาค     ภาคเหนือ
        จังหวัด  เชียงใหม่
อุปกรณ์
๑. ลูกมะม่วงขนาดหัวแม่มือ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ นิ้ว หรือขนาดมือกำได้รอบ
๒. เชือกสำหรับร้อยมะม่วง
๓. ไม้ไผ่สำหรับทำเดือย
วิธีการเล่น
การเล่นไก่ชนมะม่วงจะแบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย กี่คนก็ได้แต่แข่งขันกันทีละคู่ โดยมีวิธีการเล่นดังนี้
๑. ใช้วิธีเสี่ยงว่าใครจะเป็นผู้เริ่มต้นสับไก่มะม่วงก่อน หรือจะใช้วิธีตกลงกันโดยกำหนดให้คนที่มีมะม่วงขนาดเล็กรับก่อน
๒. เจ้าของไก่มะม่วงจะต้องดึงเชือกให้ตึง ห้ามหย่อน ผลัดกันสับคนละครั้ง สับกันไปจนกระทั่งมะม่วงแตก ก็จะใช้ไม้ไผ่เย็บจนเย็บไม่ได้ถือว่าแพ้ หรือเชือกขาดก็ถือว่าแพ้เช่นกัน
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
    เป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุกโอกาสในฤดูที่มะม่วงเริ่มออกผล
คุณค่า / แนวคิด / สาระ
           เป็นการละเล่นที่ให้ความสนุกสนาน ส่วนมากจะเป็นการละเล่นของเด็กผู้ชาย สอนให้ผู้เล่นมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะ และรู้ระเบียบวินัยของการเล่นด้วยกัน และเป็นการสร้างความสามัคคีต่อการรวมกลุ่ม


เล่นโพงพาง

     

ภาค ภาคเหนือ
จังหวัด ตาก
สถานที่เล่น สนาม ลานกว้าง
อุปกรณ์ ผ้าปิดตา
จำนวนผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน
         วิธีเล่น
ยิงฉุบกันว่าใครจะเป็นผู้แพ้ต้องปิดตาเป็นโพงพางตาบอด ผู้เล่นคนอื่น ๆ จับมือเป็นวงกลมร้องเพลง โพงพางเอ๋ย โพงพางตาบอด รอดเข้ารอดออก โพงพางตาบอดปล่อยลูกช้างเข้าในวง ขณะเดินวนรอบ ๆ โพงพางตาบอดร้องเพลง ๑-๓ จบ แล้วนั่งลงโพงพางจะเดินมาคลำคนอื่น ๆ ซึ่งต้องพยายามหนี และจะต้องเงียบสนิท หากโพงพางจำเสียงหัวเราะ รูปลักษณะได้จะเรียกชื่อ ถ้าเรียกคนถูกต้องออกมาปิดตาเป็นโพงพางต่อไป ถ้าไม่ถูกก็ต้องเป็นโพงพางอีกไปเรื่อย ๆ
         กติกา
  ใครถูกจับได้ และบอกชื่อถูกต้องเป็นโพงพางแทน
         โอกาส
  เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็ก ๆ เล่นกันโดยทั่วไป




เตยหรือหลิ่น

  ภาค ภาคเหนือ
  จังหวัด ตาก

สถานที่เล่น ลานกว้าง ที่โล่งแจ้ง
 
   อุปกรณ์ ไม่มี
จำนวนผู้เล่น ๖-๑๒ คน
     
      วิธีเล่น
ขีดเส้นเป็นตารางจำนวนเท่ากับผู้เล่น (สมมติว่ามี ๖ คน) แล้วแบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งยืนประจำเส้น (ตามขวาง) อีกฝ่ายจะวิ่งผ่านแต่ละเส้นไปโดยไม่ให้เจ้าของเส้นแตะได้ 
เมื่อเริ่มเล่นคนที่ยืนประจำเส้นแรก พูดว่า ไหล หรือ หลิ่น ฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มวิ่งผ่านเส้นแรก
ไปจนถึงเส้นสุดท้ายแล้ววิ่งกลับ ถ้าวิ่งกลับถึงเส้นแรกโดยไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามแตะได้ก็พูดว่า เตย 
ก็จะเป็นฝ่ายชนะ
    
      โอกาส
เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็ก ๆ เล่นกันโดยทั่วไป




อีหึ่มหรือตี่จับ

ชื่อ อีหึ่ม
ภาค ภาคเหนือ
จังหวัด ตาก


สถานที่เล่น สนามกลางแจ้ง

      อุปกรณ์
ไม้ยาวประมาณ ๕๐ เซ็นติเมตร และไม้ยาวประมาณ ๒๐ เซ็นติเมตร เรียกว่า ลูก อาจใช้ตะเกียบแทนก็ได้

      จำนวนผู้เล่น
ตั้งแต่ ๔ คนขึ้นไป ควรจะเป็นคู่กันด้วย

      วิธีเล่น
แบ่งผู้เล่นเป็น ๒ ฝ่าย ๆ ละเท่ากัน เป่ายิงฉุบกันใครชนะเล่นก่อน ขุดหลุมน้อย ๆ เอาลูกพาดกลางหลุมไว้ใช้ไม้ยาว ๕๐ เซ็นติเมตร (ไม้วุด) งัดไม้ที่เป็นลูกหรือที่ยาว ๒๐ เซ็นติเมตรไปให้ไกลที่สุด แล้ววางไม้วุดปากหลุม ให้อีกฝ่ายที่ไม่ได้งัดโดยไม้ที่วุดไปให้มาถูกที่พาดไว้บนปากหลุม ถ้าวุดไม่ถูกก็ให้วุดไม้อีกครั้งจนกว่าจะถูก ถ้าถูกให้ผู้ที่เป็นฝ่ายโยนไม้มาปากหลุมแทน

      โอกาส
เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็ก ๆ เล่นกันโดยทั่วไป



เต้นกำรำเคียว

ประวัติความเป็นมา
             แถบจังหวัดนครสวรรค์ โดยเฉพาะอำเภอพยุหะคีรี ประชาชนส่วนมากยึดอาชีพการทำนาเป็นหลัก หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ชาวนารู้สึกเหน็ดเหนื่อย และด้วยนิสัยรักความสนุก ประกอบกับการเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนของคนไทยด้วย ก็ชักชวนกันผ่อนคลายความเมื่อยล้า ด้วยการตั้งวงเต้นกำรำเคียว การเล่นเต้นกำรำเคียวมักเริ่มเล่นเพลงเกี่ยวข้าวก่อนเสมอ เต้นกำรำเคียวเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เก่าแก่แบบหนึ่งของชาวชนบท สันนิษฐานว่า เกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นครั้งแรกที่บ้านสระทะเล ตำบลสระทะเล อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เล่นกันแพร่หลายในบ้านสระทะเล และตำบลใกล้เคียง เช่น ตำบลม่วงหัก เป็นต้น อนึ่ง มีผู้รู้เกี่ยวกับเพลงพื้นบ้านคนหนึ่ง กล่าวว่า แต่เดิมชาวบ้านเรียกการละเล่นชนิดนี้ว่า “เต้นกำ” แต่กรมศิลปากรได้ไปถ่ายทอด และนำไปเผยแพร่ ก็ได้เพิ่มคำว่า “รำเคียว” ต่อท้าย จึงทำให้ประชาชนทั้งหลายรู้จักการละเล่นแบบนี้ในชื่อของ “เต้นกำรำเคียว” การนำเพลงเต้นกำรำเคียวไปเผยแพร่นั้น กรมศิลปากรได้ดัดแปลงท่ารำและเนื้อร้องใหม่ เพื่อให้สุภาพขึ้น และใช้ระนาดเป็นเครื่องดนตรีประกอบในตอนต้นและตอนท้าย เพลงเต้นกำรำเคียวนั้น ถือเป็นเพลงพื้นบ้านประจำจังหวัดนครสวรรค์ และในบางครั้งก็ใช้แทนเพลงพื้นบ้านในนามภาคกลางด้วย
    ผู้เล่น
       การเล่นเพลงเต้นกำรำเคียวนั้นผู้เล่นเป็นชาวบ้านที่มาเกี่ยวข้าว ไม่จำกัดจำนวน ชาย หญิง จะจับคู่เล่นกันเป็นคู่ๆ ประมาณ 5 คู่ ถึง 10 คู่
การแต่งกาย
      ทั้งของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง คือ  ชุดที่ใส่ในการทำนา ฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขาก๊วย   และสวมเสื้อม่อฮ่อมสีดำหรือสีน้ำเงินเข้มมีผ้าขาวม้าคาดเอว สวมหมวกสานใบลาน ฝ่ายหญิงจะนุ่งโจงกระเบนสีดำ หรือโจงกระเบนผ้าลายก็ได้ และสวมเสื้อแขนกระบอกสีดำหรือสีน้ำเงินเข้ม สวมงอบ
อุปกรณ์ในการเล่น
    เคียวเกี่ยวข้าวคนละ 1 เล่ม พร้อมกับกำรวงข้าวคนละ 1 กำ
สถานที่เล่น
    เล่นกันในท้องนาที่เกี่ยวข้าว หรือลานดินกว้างๆ ในท้องนา 
  วิธีเล่น
        ในการเล่นจะแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายชายและฝ่ายหญิง แต่ละฝ่ายจะยืนอยู่คนละครึ่งวงกลม แต่ละคนถือเคียวเกี่ยวข้าวไว้ด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายกำรวงข้าวไว้ เมื่อการเล่นเริ่มต้นขึ้น ฝ่ายชายที่เป็นพ่อเพลง จะเป็นผู้เต้นออกไปกลางวง ตามจังหวะปรบมือของลูกคู่ พ่อเพลงจะร้องชักชวนแม่เพลงก่อน เพื่อให้ออกมาเพลงแรกคือ เพลงมา สำหรับลูกคู่ที่เป็นชาย จะนำเคียวและรวงข้าวมาเหน็บไว้ข้างหลัง เพื่อตบมือให้จังหวะ ส่วนลูกคู่ฝ่ายหญิงยังคงถือเคียวและรวงข้าวเหมือนเดิม แล้วเดินตามกันไปเป็นวงกลม สำหรับพ่อเพลงและแม่เพลงนั้น จะเปลี่ยนกันหลายคนก็ได้ นอกนั้นก็เป็นลูกคู่คอยร้องรับ นอกจากนี้ยังมีการรำร่อหรือเรียกว่า “ร่อกำ” กล่าวคือ เมื่อพ่อเพลงเดินเข้าไปใกล้แม่เพลง ก็หาทางเข้าใกล้ฝ่ายหญิงให้มากที่สุด เมื่อสบโอกาสก็ใช้ด้ามเคียวหรือข้อศอก กระทุ้งให้ถูกตัวฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงจะใช้เคียวและรวงข้าวปัดป้อง ถ้าหากพ่อเพลงเข้าไปผิดท่า ก็อาจถูกรวงข้าวฟาด การร่อกำนี้ พ่อเพลงที่เต้นเก่งๆ จะทำได้น่าดูมาก เพราะท่าทางสวยงามเป็นที่สนุกสนานครื้นเครง ในขณะที่ร้องพ่อเพลงจะแสดงท่าทางให้สอดคล้องกับเนื้อเพลงด้วย ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด  11  บท
ตัวอย่างเนื้อเพลงเต้นกำรำเคียว
 เพลงมา
ชาย   มากันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่มามารึมา แม่มา (ซ้ำ) มาเถิดแม่นุชน้อง พี่จะเป็นฆ้องให้น้องเป็นปี่ ต้อยตะริดติ๊ดตอด น้ำแห้งน้ำหยอดที่ตรงลิ้นปี่ มาเถินะแม่มา มารึมาแม่มา มาเต้นกำย่ำหญ้ากันในนานี้เอย
หญิง  มากันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อมามารึมา พ่อมา ฝนกระจายปลายนา แล้วน้องจะมาอย่างไรเอย
 
เพลงไป
ชาย   ไปกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ไปไปรึไป แม่ไป ไปชมนกกันที่ในป่า ไปชมพฤกษากันในไพร ไปชม   ชะนีผีไพรกันเล่นที่ในดงเอย
หญิง  ไปกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อไปไปรึไป พ่อไป น้องเดินขยิกจิกไหล่ ตามก้นพี่ชายไปเอย
 
เพลงเดิน
ชาย   เดินกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่เดินเดินรึเดิน แม่เดิน ย่างเท้าขึ้นโคก เสียงโพระดกมันเกริ่น (ซ้ำ) จะชวนหมู่น้องไปท้องพะเนิน ชมเล่นให้เพลินใจเอย
หญิง  เดินกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อเดินเดินรึเดิน พ่อเดิน หนทางก็รกระหกระเหินแล้วน้องจะเดินอย่างไรเอย 
 
เพลงรำ
ชาย   รำกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่รำรำรึรำ แม่รำ ใส่เสื้อดี แม่ห่มแต่สีดอกขำ น้อยหรือแน่แม่ช่างรำ แม่เชื้อระบำเก่าเอย
หญิง  รำกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อรำรำรึรำ พ่อรำ มหาหงส์ลงต่ำ ต่างคนต่างรำไปเอย
 
เพลงร่อน
ชาย   ร่อนกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ร่อนร่อนรึร่อน แม่ร่อน (ซ้ำ) รูปร่างเหมือนนางระบำ แม่เอ๋ยช่างรำ แม่คุณช่างร่อน (ซ้ำ) อ้อนแอ้นแขนอ่อน รูปร่างเหมือนมอญรำเอย
หญิง  ร่อนกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อร่อนร่อนรึร่อน พ่อร่อน สีนวลอ่อนๆ ร่อนแต่ลมบนลมเอย
 
เพลงบิน
ชาย   บินกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่บินบินรึบิน สองตีนกระทืบดิน ใครเลยจะบินไปได้อย่างเจ้า (ซ้ำ) ใส่งอบขาวๆ รำกำข้าวงามเอย
หญิง  บินกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อบิน บินรึบิน พ่อบิน มหาหงส์ทรงศีล บินไปตามลมเอย
 
เพลงยัก
ชาย   ยักกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ยักยักรึยัก แม่ยัก ยักตื้น กระไรติดกึก ยักลึก กระไรติดกัก (ซ้ำ) แม่หงส์ทองน้องรัก ยักให้หมดวงเอย     
หญิง  ยักกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อยักยักรึยัก พ่อยัก (ซ้ำ) อย่าเข้ามาใกล้น้องนัก จะโดนเคียวควักตาเอย
 
เพลงย่อง
ชาย   ย่องกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ย่องย่องรึย่อง แม่ย่อง บุกพงอะไรแกรกๆ สองมือก็แวกนัยน์ตาก็มอง (ซ้ำ)
พบฝูงละมั่ง กวางทอง พวกเราก็จ้องยิงเอย
หญิง  ย่องกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อย่องย่องรึย่อง พ่อย่อง ฝูงละมั่งกวางทอง ย่องมากินถั่วเอย
 
เพลงย่าง
ชาย   ย่างกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ย่างย่างรึย่าง แม่ย่าง ย่างเถิดย่างเถิดแม่ย่าง ย่างรึย่างแม่ย่าง เจอะเสือพี่ก็จะยิง เจอะกระทิงพี่ก็จะย่าง (ซ้ำ)            ไม่ว่าเนื้อเสือเนื้อช้าง จะย่างไปฝากเมียเอย
หญิง  ย่างกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อย่าง ย่างรึย่างพ่อย่าง เนื้อเสือเนื้อช้าง ย่างไปฝากเมียเอย
 
เพลงแถ
ชาย   แถกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่แถแถรึแถ แม่แถ (ซ้ำ) จะลงหนองไหน พี่จะไปหนองนั้นแน่ (ซ้ำ) นกกระสาปลากระแห แถให้ติดดินเอย
หญิง  แถกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อแถแถรึแถ พ่อแถ (ซ้ำ) นกกระสาปลากระแห แถมาลงหนองเอย
 
เพลงถอง
ชาย   ถองกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ถองถองรึถอง แม่ถอง (ซ้ำ) ถองรึถองแม่ถอง ถองซิถองแม่ถอง คอยขยับจับจ้อง ถองให้ถูกนางเอย
หญิง  ถองกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อถองถองรึถอง (ซ้ำ) กล้าดีก็เข้ามาลอง จะโดนกระบองตีเอย



การรำกลองยาว

ชื่อ การรำกลองยาว
ภาค ภาคเหนือ
จังหวัด นครสวรรค์


อุปกรณ์และวิธีการเล่น
อุปกรณ์ กลองยาวและฆ้อง
วิธีการเล่น ตีกลองยาวและฆ้องตามจังหวะ ผู้ที่รำจะรำตามเสียงดนตรีด้วยท่ารำที่สวยงามต่าง ๆและจะจบลงด้วยการต่อตัวขึ้นไปร่ายรำบนกลองยาว

โอกาสที่เล่น
เล่นในงานรื่นเริงต่าง ๆ และงานทำบุญปีใหม่

คุณค่า
ใช้เล่นเพื่อความสนุกสนาน และ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านที่ดีงาม ของอำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์




รำโทนวง

   อุปกรณ์: 
     โทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ
 วิธีการเล่น: 
      แบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เมื่อนักดนตรีขึ้นเพลงแล้วฝ่ายชายจะไปโค้งฝ่ายหญิงให้ออกมารำ การรำนั้นก็จะรำเป็นวงกลมเป็นคู่ ๆ แล้วแสดงท่ารำไปตามจังหวะของเพลงและเนื้อร้องเมื่อจบเพลงหนึ่งแล้วนักดนตรีก็จะขึ้นเพลงต่อไป




ซิกโก๋งเก๋ง

อุปกรณ์: 
    โก๋งเก๋งทำจากไม้ไผ่ ท่อนปลายของไม้รวก หรือไม้ซาง ตัดให้สูง ประมาณ ๒-๒.๕ เมตร ใช้มีดตัดเจาะกิ่งไผ่ที่เป็นปมอยู่ข้อตาไผ่ออกให้หมด แต่ต้องเหลือไว้ตรงข้อแรกของไม้ไผ่ให้เป็นปมอยู่ เหลาข้ออื่นๆ ให้เรียบเพื่อสะดวกในการจับถือ หาปล้องไม้ไผ่ที่ใหญ่กว่า ๒ ท่อนแรก ตัดให้เหลือข้อปล้องไว้ด้านหนึ่งยาวประมาณ๑๕-๓๐ เซนติเมตร จำนวน ๒ ท่อน เจาะรู ๒ ด้าน เสร็จแล้วนำไปสวมเข้ากับไม้ ๒ ท่อนแรก โดยให้ไม้ที่สวมนั้นไปค้างติดอยู่กับข้อตาไผ่ที่เหลือไว้ แล้วใช้ผ้าพันตรงไม้ ๒ ท่อนประกบกันให้แน่น

วิธีการเล่น: 
     ใช้มือถือไม้โก๋งเก๋งตั้งขึ้นให้ตรง แล้วค่อยก้าวเท้าใดเท้าหนึ่ง ขึ้นเหยียบบนไม้โก๋งเก๋ง ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เท้าซ้ายขึ้นก่อน แล้วก้าวเท้าขวาตามตั้งตัวให้สมดุลแล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าใดเท้าหนึ่งออกไป ถ้าล้มก็ขึ้นใหม่เดินใหม่จนครบ









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น